คาถาบูชาพระ ...เปลี่ยนไปจากเดิม สมัยที่หลวงปู่ดู่ยังมีชีวิต ผมเห็นหลวงปู่เผยแพร่บทสวดนี้ ท่านพูดแบบยิ้มๆ ว่าสวดแล้วไม่จน ท่านว่าเป็นของดี ท่านได้มาจากวัดประดู่ทรงธรรม ดังนั้น หากใครถามว่าหลวงปู่ดู่ท่านเผยแพร่คาถานี้จริงไหม ก็ต้องตอบว่าจริงเช่นนั้น แต่ที่คลาดเคลื่อนออกไปนั้นมีอยู่อย่างน้อย ๔ ประการ ประการแรกก็เรื่องที่มาที่สมัยนี้บอกว่าท่านรจนาขึ้นเอง ประการที่สอง ก็ชื่อเรียกที่เปลี่ยนจากคาถาบูชาพระ เป็นคาถามหาจักรพรรดิ ประการที่สามก็เรื่องอานิสงส์ที่เดี๋ยวนี้แต่งเติมและพรรณนากันอย่างเลอเลิศ จนดูคล้ายจะแปลงพระพุทธศาสนาไปเป็นลัทธิเทวนิยมที่นิยมสวดอ้อนวอนหวังผลดลบันดาลไปเสียแล้ว ประการสุดท้าย ซึ่งเป็นประเด็นสําคัญ คือ การให้น้ําหนักกับคาถานี้ สมัยหลวงปู่มีชีวิต ใครๆ ก็รู้ว่าสิ่งที่หลวงปู่เทน้ําหนักให้อย่างเต็มที่ก็คือ การปฏิบัติสมาธิภาวนา ดังที่ท่านเรียกว่า ทํางาน ส่วนคาถาอะไรนี่เป็นเพียงส่วนปลีกย่อย ที่ช่วยด้านกําลังใจเพราะหวังอานิสงส์จากการสวดบ้าง รวมทั้งเป็นอุบายให้จิตไม่ฟุ้งซ่านบ้าง แต่สมัยนี้ ต้องใช้คําว่าสวดแบบเอาเป็นเอาตาย สวดกันจนเป็นงานหลัก นี่ถ้าหลวงปู่ยังมีชีวิต ท่านคงนึกแปลกใจว่ากําลังทําอะไรกันอยู่ สมัยหลวงปู่ ไม่ปรากฏเห็นหรือได้ยินใครมาสวดคาถาแบบออกเสียงอย่างนี้ เพราะเขาสวดกันในใจ หรือถ้าจะสวดออกเสียง ก็ต้องที่ห้องพระที่บ้านตัวเอง และส่วนใหญ่สวดอย่างมากก็ ๓ จบ เคยมีลูกศิษย์ไปอวดหลวงปู่ว่าเมื่อคืนเขาสวดมนต์ตั้งเป็นชั่วโมงๆ หลวงปู่ถามกลับว่า แล้วนั่งสมาธิภาวนากี่นาที เขาตอบว่า ๑๐ นาที หลวงปู่จึงว่า ทีหลังให้กลับกัน สวดแต่น้อย นั่งภาวนาให้มากๆ ท่านว่า สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ดังนั้น เนื้อหาสาระหลักๆ จึงอยู่ที่การปฏิบัติภาวนา มิใช่การสวด แต่ก็นั่นแหละ บางท่านอาจมีจริตนิสัยชอบการสวด นั่นก็ให้เป็นอัธยาศัยส่วนตัว แต่ไม่ควรถือเป็นแบบแผนสําหรับคนหมู่มาก อีกทั้ง มิใช่แนวทางที่หลวงปู่ท่านแนะนําสั่งสอนในสมัยที่ท่านมีชีวิต เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจสําหรับผู้มาใหม่ หรือผู้ไม่รู้ ต่างก็มีศรัทธาอยากเผยแพร่ปฏิปทาของหลวงปู่ แต่หากไม่ใคร่ครวญให้ดี อาจกลายเป็นการเผยแพร่สิ่งที่มิใช่ปฏิปทาของหลวงปู่ หรืออาจถึงขั้นขัดแย้งกับคําสอนของหลวงปู่ไปเสีย จึงขอฝากผู้ที่เคารพรักหลวงปู่ ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณา พอ (๒๒ กันยายน ๒๕๖๐)